ด้านการส่งออก ปัจจุบันสัดส่วนยอดส่งออกประมาณ 4 - 5% จากยอดขาย ตอนนี้มีตัวแทนในกัมพูชา พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมีการขายแบบ Indirect อีกจำนวนหนึ่ง มีการเข้าไปตั้งสำนักงานที่โฮจิมินห์ และกวางเจา ส่วนในมาเลเซียมีการร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นซึ่งจะช่วยในช่องทางการจัดจำหน่าย มีข้อจำกัดในการออกไปต่างประเทศบ้าง เช่น กว่าจะจดแจ้งสินค้าแต่ละตัวในจีนต้องใช้เวลา 1 - 1.5 ปี
การนำสินค้ามาบรรจุเองช่วยให้ต้นทุนลดลงประมาณ 20% ปัจจุบันมีสัดส่วนบรรจุเองอยู่ที่ประมาณ 30% แต่จะไม่ทำเองทั้งหมดเพราะต้องการ know how จากคู่ค้า การนำมาบรรจุเองจะช่วยให้ฐานของธุรกิจมั่นคงขึ้น ผู้บริหารบอกว่า KAMART มีแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น ลอรีอัล ชิเชโด ฯ เป็นต้นแบบ ต้องการเป็น full business แบบนั้น ในอนาคตอยากจะทำให้ราคาขายสินค้าในต่างประเทศเท่ากับราคาขายในประเทศไทย
ปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 25 - 50% (ตอนฟังก็เริ่มงงไม่แน่ใจว่าจะให้ใช้ตัวเลขไหน เอาเป็นว่าเติบโตก็แล้วกันครับ) ตั้งงบโฆษณาไว้ประมาณ 150 ล้านบาท อัตรากำไรน่าจะใกล้เคียงเดิม
อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า สินค้าที่ขายดีใช้เวลาประมาณ 1 เดือน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 - 4 เดือน มีการออกสินค้าใหม่ประมาณ 10 - 15 sku ต่อเดือน
ผ่านมา 3 เดือน ผลการดำเนินงานน่าพอใจ ตลาดเครื่องสำอางคึกคักทุกคนแข่งกับตัวเอง ยิ่งตลาดค้าปลีกเครื่องสำอางแข่งกันเปิดสาขาก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อ KAMART และสินค้าความงามเป็นสินค้าจำเป็น
No comments:
Post a Comment