สรุปการประชุม AGM หุ้น MAKRO ประจำปี 2017
ปี 2559 ที่ผ่านมาเปิดสาขาใหม่ 17 แห่ง เป็นขนาด Classic 7,000 ตร.ม. จำนวน 6 สาขา Food Service 5 สาขา Eco Plus 3 สาขา Food Shop 2 สาขา และ Frozen 1 สาขา รวมถึงสิ้นปีมีสาขาทั้งสิ้น 115 สาขา พื้นที่ขาย 704,000 ตร.ม.
ทำการทดลองเปิดสาขา Pet Shop ขายอาหารสัตว์พื้นที่ 100 ตร.ม. ที่แหลมฉบัง สาขา Pet Shop เป็นการเปิดร้านใน Makro เอง ปีนี้จะเปิดอีก 1 สาขาในกรุงเทพฯ
เริ่มทำการตลาด E-Commerce จับกลุ่มลูกค้า B2B ปัจจุบันอยู่ในการทดลองระบบ ปี 2560 จะลงทุนในส่วนนี้มากขึ้นโดยครึ่งปีหลังจะชัดเจนมากขึ้น
สาขาแรกในกัมพูชาเริ่มก่อสร้างแล้วจะเปิดได้ประมาณเดือนธันวาคมปีนี้ การลงทุนในกัมพูชา Makro ถือหุ้น 70% นักลงทุนท้องถิ่น 30%
การลงทุน 80% ใน Indoguna สิงคโปร์ เสร็จสิ้นตั้งแต่เดือนมกราคม
ปี 2559 ยอดขายเติบโต 10.9% กำไรเติบโตเล็กน้อย เป็นผลมาจากมีค่าใช้จ่ายสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ การเปิดสาขาใหม่ 17 สาขา การลงทุนในระบบ Oracle ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มจากปีก่อนหน้า 10% กว่าๆ ประกอบกับการแข่งขันที่มากทำให้ Margin ลดลง
Makro กำลังทำโครงการ Makro 4.0 ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้าเพื่อปรับรูปแบบร้านให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้า ปรับปรุงสาขาเก่าให้เป็นรูปแบบใหม่ รวมถึงส่งเสริมคนรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นผู้บริหารเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
ธุรกิจหลักยังคงอยู่ในประเทศไทยเน้นด้านอาหาร สำหรับต่างประเทศใน 1 - 2 ปีนี้ยังคงอยู่ที่กัมพูชา
ธุรกิจต่างประเทศสนใจทั้งอาเซียน เหตุที่ไปกัมพูชาก่อนเพราะกัมพูชาเป็นประเทศที่เปิดที่สุดสำหรับนักลงทุนต่างประเทศรวมถึงสามารถค้าขายเป็น USD ได้
สาขากัมพูชาเน้นลูกค้าผู้ประกอบการเน้นเรื่องอาหาร จุดเด่นของ Makro อยู่ที่คุณภาพความปลอดภัยของอาหารและความสะอาด
สำหรับพม่ามองว่ายังไม่ใช่จังหวะเวลาในขณะนี้ ส่วนลาวต้องค้าขายเป็นเงินกีบเท่านั้น
Food Service แม้มี Margin สูงกว่าแต่ค่าใช้จ่ายก็สูงกว่า แต่โดยภาพรวมคิดว่ามีโอกาสที่ดี
อินเดีย เริ่มส่งทีมงานเข้าไปศึกษา
ปี 2560 เปิดสาขา 7 สาขา เป็น Food Service 4 สาขา Classic 3 สาขา การเปิดสาขา Classic พื้นที่ 7,000 ตร.ม. จะเปิดเฉพาะจังหวัดที่ยังไม่มี Makro งบประมาณลงทุนทั้งปี 6,000 ล้านบาท มาจากการกู้ 50% กระแสเงินสด 50%
ค่าปรับ Free Float ไม่ถึง 2 ล้านบาท
Position ของ Makro ในอาเซียนยังคงเน้น B2B เน้นกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการเป็นระบบสมาชิกอาจจะซื้อน้อยหรือซื้อมากก็ได้ การขอใบอนุญาตจะขอทั้งค้าส่งและค้าปลีก
ภาวะเศรษฐกิจช่วงต้นปีตรุษจีนพอใช้ได้แต่สงกรานต์เงียบมาก ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ที่กัมพูชาเป็นการเช่าที่ดิน รูปแบบสาขาเหมือนในไทยขนาด 10,000 ตร.ม.
ที่สิงคโปร์เป็นเหมือน Siam Food Service จำหน่ายสินค้าค่อนข้าง Premium เป็นผู้ผลิตยังไม่มีร้าน
เป้าการขยายในอนาคต สาขา Classic จะน้อยลง เน้น Food Service 1,000 - 2,000 ตร.ม. และ Food Shop ต่ำกว่า 1,000 ตร.ม.
Food Service เปิดปีละประมาณ 4 สาขาน่าจะได้
กัมพูชาช่วงแรกน่าจะได้ประมาณ 5 สาขา
House Brand ประสบความสำเร็จถึงเป้าหมายทุกปี สัดส่วนประมาณ 13 - 14% ถ้าตัดสินค้าแอลกอฮอล์ออกสัดส่วน House Brand มากกว่า 20%
เหตุที่สนใจอินเดีย ปัจจุบันมีคนทำตลาดไว้แล้วคือ Metro กัน Wallmart อินเดียอนุญาตให้ Whole Seller ได้ ยังไม่มี Food Service แต่ตลาดอินเดียมีความยากมากกว่าง่ายจึงต้องส่งคนเข้าไปศึกษา
การลงทุนในไทยตามการศึกษาความเป็นไปได้ต้องได้ผลตอบแทน 9% ส่วนต่างประเทศ 13% ขาดทุนไม่เกิน 4 ปี ภายใน 3 ปีที่กัมพูชาต้องเปิดให้ได้ 5 สาขา เตรียม Budget ไว้แล้ว
Small Format ในกรุงเทพฯ เปิดที่ไหนก็ได้แต่ต่างจังหวัดไม่สามารถเปิดได้ทุกอำเภอเพราะคาดหวังลูกค้า B2B
สาขาส่วนใหญ่เปิดปีแรกก็มีกำไร แต่ระยะหลังค่าที่ดินแพงขึ้นหากคิดค่าเสื่อมอาจมีขาดทุนบ้าง ปีที่ 2 - 3 จะมีกำไร
บทความที่เกี่ยวข้องกัน
MAKRO AGM Y2016
CPALL AGM Y2017
No comments:
Post a Comment