• Home
  • OppDay
  • AGM
  • ตะลอนหุ้น
  • Food&Trip
  • About

August 15, 2017

KTC OppDay 2Q2017

       สรุป OppDay หุ้น KTC ไตรมาส 2 ปี 2017

       สัดส่วนพอร์ตมาจาก Credit Card 66%  Personal Lone 33.3%  อื่นๆ 0.7%


       สัดส่วนรายได้มาจาก Credit Card 62.2%  Personal Lone 37.2%  อื่นๆ 0.6%


       ธุรกิจบัตรเครดิต  การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมูลค่า 0.37 ล้านล้านบาท  คิดเป็น 20.3% เมื่อเทียบกับการบริโภคในภาพรวมของประเทศ


       สิ้นเดือนมิถุนายน KTC มีบัตร 2,180,786 ใบ  Market Share 11%  เติบโต 9.7% YoY


       ปีนี้อุตสาหกรรมบัตรเครดิตเติบโต 2.7% YoY  KTC เติบโตได้ 6.8% YoY


       NPL ของ KTC อยู่ที่ 1.22%  ในขณะที่ NPL อุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.48%

       ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล  สิ้นเดือนมิถุนายนมีบัญชีอยู่ทั้งสิ้น 850,383 บัญชี  เติบโต 8.4% YoY  Market Share 6.8%  NPL อยู่ที่ 0.88% ในขณะที่ NPL อุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.66%


       Cost to Income Ratio 36.3% ลดลงเนื่องจากยังไม่ค่อยได้ใช้ Marketing Expense ในครึ่งปีแรก


       Cost of Fund 3.2%


       Net Interest Margin 15.6%


       D/E 5.1 เท่า


ระเบียบใหม่ BOT มีผลบังคับใช้ 1 กันยายน
 

สำหรับบัตรเครดิต
 

       Minimum Income 15,000 บาท
 

       Interest Rates and Fees  18%
 

       Maximum Credit Line รายได้ 15,000 - 29,999 ไม่เกิน 1.5 เท่า  30,000 - 49,999 ไม่เกิน 3.0 เท่า  มากกว่า 50,000 ไม่เกิน 5.0 เท่า  ทั้งนี้ Maximum Credit Line ใช้สำหรับลูกค้าใหม่และไม่จำกัดจำนวนบัตรสามารถขอกับสถาบันการเงินหลายแห่งได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละสถาบันการเงิน

       ผลกระทบกับบัตรเครดิตมี 2 ส่วน คือ 1. การเติบโตของพอร์ต  2. การลดลงของรายได้


       KTC มีพอร์ตที่จ่ายไม่เต็มอยู่ประมาณ 75% การลดลงของดอกเบี้ย 2% จะกระทบต่อรายได้รวมประมาณ 3%


       ลูกค้าเก่าบัตรเครดิตไม่มีผลกระทบ  เปลี่ยนบัตรใหม่ก็ยังได้เกณฑ์เดิม


สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล
 

       Interest Rates and Fees  28%
 

       Maximum Credit Line รายได้น้อยกว่า 30,000 บาท ไม่เกิน 1.5 เท่า จำกัดไม่เกิน 3 แห่ง  รายได้มากกว่า 30,000 บาท ไม่เกิน 5 เท่า

       สินเชื่อส่วนบุคคลไม่กระทบกับลูกค้าเก่าเช่นกัน  ยังได้เกณฑ์เดิม


       มีผลกระทบชัดเจนต่อ Loan Port ทำให้มีการเติบโตช้าลงกว่าเดิม


เป้าหมาย
 

       ปีนี้ยังคงเป้าหมายกำไรเติบโต 10% YoY
 

       เป้า Card Spending เติบโต 15% คงไม่สามารถทำได้เนื่องจากครึ่งปีเติบโตแค่ 6.8% ส่วนจะจบที่เท่าไรยังตอบไม่ได้
 

       เป้า Total Port เติบโต 10%  ครึ่งปีทำได้ 9.7% YoY
 

       NPL ยังคงอยู่ในเป้าที่ตั้งไว้ไม่เกิน 1.7%

       กำไรของปี 2018 เป็นหน้าที่ของฝ่ายจัดการที่จะทำให้ไม่ต่ำกว่ากำไรในสิ้นปีนี้  ปัจจัยที่มีผลกระทบจะเป็นปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจมากกว่า  เชื่อว่า KTC ยังคงได้เปรียบคู่แข่งอยู่


       การแข่งขันปีหน้าจะเข้มข้นมาก  แต่จะไม่มีผู้เล่นรายใหม่เป็นรายใหญ่แข่งกันเหมือนเดิม


       ลูกค้าบัตรเครดิตทั่วประเทศประมาณ 6.7 ล้านคน  ปัจจุบันลูกค้า KTC ประมาณ 2 ล้านคน  ยังมีช่องว่างอีก 4 - 5 ล้านคนที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้า KTC  คิดว่าน่าจะเติบโตจากลูกค้ากลุ่มนี้ได้


       ดอกเบี้ยลดลง 2% มีผลกระทบกับ EBIT ประมาณ 700 ล้านบาท


       ปี 2018 เป็นปีที่เหนื่อยที่จะทำให้กำไรเติบโต  จากนี้ไปจะเห็นอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดจาก KTC


       จากประกาศของ BOT เชื่อว่าจะทำให้คุณภาพของพอร์ตดีขึ้น  ซึ่งส่งผลให้ความจำเป็นในการตั้งสำรองลดลงในอนาคต


       การตั้งสำรองปัจจุบันครอบคลุม IFRS9 แล้ว 100%  ไม่คิดจะ Write Back สำรอง  แต่การตั้งสำรองในอนาคตอาจไม่สูงเท่าที่เคยเป็น


       ผลกระทบจากประกาศของ BOT น่าจะใช้เวลาสำหรับปรับประมาณ 1 ปี


       ไม่คิดว่า NPL จะต่ำได้มากกว่านี้


       บัตรหมดอายุ ต่ออายุบัตร ถ้าอยู่กับธนาคารเดิมใช้เกณฑ์เดิม


       Marketing Expense ที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากการหาบัตร  ปีนี้หาบัตรได้ต่ำลงจึงจ่ายเงินน้อยลง


       คิดว่าช่วงนี้ Yield น่าจะต่ำสุด  จึงตั้งใจใช้แหล่งเงินทุนระยะยาวเป็นจำนวนมากเพื่อให้ดอกเบี้ยต่ำในระยะยาว


       ลูกค้าที่ไม่ใช้บัตรในระยะ 30 วันจะมีจดหมายแจ้งเพื่อขอยกเลิกเนื่องจากมองว่าหากช่วงเวลาที่ดีๆ ไม่ใช้เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจะใช้เต็มวงเงินแล้วหายไปบริษัทจะเสียหายหนักได้  การที่เห็น Market Share โตจาก 9% กว่าๆ เป็น 11% เนื่องจากปัจจุบันรายอื่นเริ่มใช้วิธีเดียวกับ KTC


       BOT อนุญาตให้ใช้วงเงินฉุกเฉินได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท


Link สำหรับดูคลิปย้อนหลัง KTC OppDay 2Q2017


บทความที่เกี่ยวข้องกัน
       KTC OppDay 1Q2016

       CENTEL OppDay 1Q2017

No comments:

Post a Comment